ก.พลังงานเปิดแผนปี 66 ผ่าน 4 มิติผลักดันไทยสู่ Net Zero แจงปี 65 ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานประชาชน 2.8 แสนล้านบาท - กระตุ้นลงทุนรวม 2.6 แสนล้านบาท
กระทรวงพลังงานสรุปผลงานปี 2565 มีส่วนช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้ประชาชนรวมกว่า 280,000 ล้านบาท และยังกระตุ้นให้เกิดการลงทุนด้านพลังงานอีกราว 260,000 ล้านบาท พร้อมชี้ทิศทางปี 2566 มุ่งเดินหน้าแผนงานด้านพลังงานใน 4 มิติ ทั้งสร้างความมั่นคงสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เสริมสร้างเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ และพัฒนาองค์กรเพื่อให้บริการ ทั้งนี้เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ. 2065
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานพร้อมด้วยคณะผู้บริหารสังกัดกระทรวงพลังงานแถลงผลการดำเนินงานของกระทรวงพลังงาน ปี 2565 ของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน และแผนการดำเนินงานของกระทรวงพลังงาน ปี 2566 กรณีค่าไฟประเภทอื่นนอกเหนือจากที่อยู่อาศัย ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศอัตรารวม 5.69 บาทต่อหน่วย งวดเดือน มกราคม-เมษายน 2566 นั้น ขณะนี้ กกพ. อยู่ระหว่างพิจารณาร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ส่งข้อมูลต้นทุนเชื้อเพลิงใหม่มาแล้ว จากต้นทุนล่าสุดที่ลดลง เชื่อว่าค่าไฟเอกชนลดแน่นอน แต่จะเป็นอัตราเท่าไหร่ขอให้รอ กกพ. สรุป คาดว่าจะไม่เกินวันที่ 28 ธันวาคม 2565 นี้
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ในปี 2566 คาดว่าสถานการณ์ความผันผวนด้านพลังงานจะยังคงอยู่ กระทรวงพลังงานจึงดำเนินโครงการสำหรับช่วยเหลือประชาชนสำหรับก๊าซหุงต้ม (LPG) เพื่อลดต้นทุนค่าครองชีพต่อเนื่องจากปี 2565 โดยตรึงราคาขายปลีก LPG อยู่ที่ 408 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2566 และช่วยส่วนลดค่าก๊าซหุงต้ม (LPG) แก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 100 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566 นอกจากนี้ ปตท.ยังคงให้ส่วนลดแก่ร้านค้าหาบเร่ แผงลอยอาหารที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 100 บาทต่อคนต่อเดือน เพื่อเป็นการลดต้นทุนค่าครองชีพ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566
สำหรับในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ประชาชนต้องมีการเดินทางจำนวนมาก เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย กระทรวงพลังงาน โดยความร่วมมือกลุ่ม ปตท. จะตรึงราคาน้ำมันทุกชนิดระหว่างวันที่ 24 ธันวาคม 2565 – 3 มกราคม 2566 ครึ่งราคาที่พักที่เขื่อน กฟผ. การส่งเสริมสินค้าชุมชนผ่านโครง การเอนจี้ มีดี และแจกผลิตภัณฑ์ชุมชนเป็น Box Set ให้ผู้เดินทางที่กลับจากต่างจังหวัดโดยรถไฟอีกด้วย
สำหรับทิศทางพลังงานปี 66 ยังต้องติดตามสถานการณ์พลังงานอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะเรื่องการบริหารจัดการพลังงานให้มีความต่อเนื่อง เพื่อให้มีปริมาณเพียงพอกับที่คาดการณ์ว่าแนวโน้มความต้องการใช้พลังงานจะเพิ่มขึ้น กระทรวงพลังงานต้องปรับบทบาทองค์กรก้าวสู่ยุคเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) นอกจากจะต้องสร้างความมั่นคงด้านพลังงานแล้ว ยังต้องเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายและการดำเนินการหลายด้านเพื่อขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ทั้งการส่งเสริมการผลิตพลังงานสะอาดให้เป็นไปตามเป้าหมาย
สำหรับแผนงานสำคัญของกระทรวงพลังงานในปี 2566 จึงมุ่งสู่พลังงานสะอาดเพื่อตอบโจทย์สังคมยุคไร้คาร์บอน โดยได้วางแผนงานและโครงการแบ่งเป็น 4 มิติ ประกอบด้วย
มิติที่ 1 พลังงานสร้างความมั่นคงสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยแผนพลังงานชาติและแผนพลังงานรายสาขาใหม่เน้นการส่งเสริมพลังงานสะอาด ตามเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2065 มีแผนการลงทุน Grid Modernization ของประเทศฉบับแรก ปลดล็อค ปรับปรุงกฎ กติกา เพื่อส่งเสริมการซื้อขายไฟฟ้าสะอาดเชิงพื้นที่ ส่งเสริมการลงทุนรถ EV และสถานีอัดประจุไฟฟ้า รวมทั้งศึกษาศักยภาพ กำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS)
มิติที่ 2 พลังงานเสริมสร้างเศรษฐกิจ ด้วยการจัดหาก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในประเทศ และประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าการนำเข้า Spot LNG เร่งพัฒนาเครื่องมือทางการเงินเพื่อส่งเสริมพลังงานทดแทน และการอนุรักษ์พลังงาน พร้อมกันนี้ยังส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้ง บนหลังคาสำหรับหน่วยงานของรัฐ การบังคับใช้เกณฑ์ด้านพลังงานสำหรับการออกแบบอาคารสร้างใหม่ (BEC)
มิติที่ 3 พลังงานลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยส่งเสริมการลงทุนโรงไฟฟ้า ชีวมวล/ก๊าซชีวภาพจากพืชพลังงานเพื่อชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก โดยเร่งการลงทุน 200 เมกะวัตต์ คาดว่าจะมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจรวม 20 ปีประมาณ 37,700 ล้านบาท และยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 630,737 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี ในมิตินี้ยังมีการพัฒนาระบบไฟฟ้าสำหรับพื้นที่เกาะและพื้นที่ห่างไกล และที่สำคัญก็คือมาตรการการช่วยเหลือด้านพลังงานแบบเฉพาะให้กับกลุ่มเปราะบาง เช่น ส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือช่วยเหลือค่าไฟฟ้าแก่ผู้มีรายได้น้อย
มิติที่ 4 การพัฒนาองค์กรเพื่อให้บริการ โดยเผยแพร่ข้อมูลด้านพลังงานรูปแบบ Interactive Dashboard แสดงข้อมูลเชิงลึกด้านพลังงานผ่านการประมวลผลรูปแบบที่เข้าใจง่าย เพื่อใช้สื่อสารให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวก รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพด้านดิจิทัลในการดำเนินงานด้านพลังงาน
“ในปี 2566 สภาพัฒน์คาดการณ์ ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 3 - 4% จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว การบริโภค การลงทุน และการผลิตภาคเกษตร สถานการณ์กำลังปรับตัวไปในทิศทางที่เป็นบวก แต่เรายังเผชิญปัจจัยที่มีความไม่แน่นอนด้านพลังงาน และกระแสการลดโลกร้อนกำลังทวีความสำคัญ เพราะฉะนั้น การพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดจะเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินนโยบายด้านพลังงาน เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการดูแลผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่ผันผวนต่อเนื่องให้แก่ประชาชนทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าว
สำหรับปี 65 ก.พลังงานช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานแก่ประชาชน และส่งเสริมการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ในปี 2565 กระทรวงพลังงานได้ดำเนินมาตรการหลายด้าน ประกอบด้วย ด้านลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน โดยช่วยลดภาระค่า Ft ให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 500 มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยมูลค่าการช่วยเหลือทางด้านพลังงานในปี 2565 รวมทั้งสิ้นกว่า 232,800 ล้านบาท
ที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงาน เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบด้านราคาน้อยที่สุดจากความผันผวนของราคาพลังงานในตลาดโลก โดยแนวทางในการบริหารจัดการพลังงานหากเกิดสถานการณ์วิกฤตราคาพลังงานในปี 2566 จะเน้นดำเนินการใน 3 ด้าน ได้แก่
1) การปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้าจากเดิมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นการใช้เชื้อเพลิงอื่นที่มีราคาต่ำก่าการนำเข้า Spot LNG เช่น น้ำมันดีเซล นำมันเตา ถ่านหินจากแหล่งแม่เมาะ การใช้ไฟฟ้าพลังน้ำที่นำเข้าจาก สปป. ลาว 2) การลดความต้องการใช้ก๊าซในประเเทศ ด้วยการลดรับซื้อไฟฟ้าจากกลุ่มผู้ผลิตประเภท SPP รวมถึงขอความร่วมมือประหยัดพลังงานในภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม 3) การเพิ่มการจัดหาก๊าซธรรมชาติ ทั้งจากแหล่งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน และการนำก๊าซจากอ่าวไทยเข้าสู่การผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นโดยการเพิ่มก๊าซฯ Bypass และลดการใช้ในภาคอุตสาหกรรม
ด้านสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ได้จัดทำแผนพลังงานชาติ และแผนย่อยรายสาขา เพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์สุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2050 เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาพลังงานของไทยรองรับสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงาน โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาใช้ ตลอดจนการบริหารจัดการการเปลี่ยนผ่านการดำเนินงานแหล่งก๊าซเอราวัณ และแหล่งบงกช การเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบ 24 ในประเทศ จัดทำโรดแมประบบเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) เพื่อให้ไทยบรรลุเป้าหมายมุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ด้านส่งเสริมการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยส่งเสริมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ไฟฟ้า โครงการพลังงานทดแทนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และโครงการอื่นๆ รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 260,000 ล้านบาท
ด้านส่งเสริมพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ทั้งการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ การรับซื้อไฟฟ้าจากขยะ การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน การส่งเสริมสนับสนุนสถานีอัดประจุไฟฟ้าเพื่อรองรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ปัจจุบันมี 869 สถานีทั่วประเทศ การประหยัดพลังงานหน่วยงานรัฐ
ด้านการอำนวยความสะดวกในการให้บริการแก่ประชาชน อาทิ ปรับปรุงการขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการไฟฟ้า กิจการก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซธรรมชาติ การพัฒนาด้านการให้บริการแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-service) เพื่ออำนวยความสะอาด ลดระยะเวลา และค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้ผู้รับบริการ
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า สนพ. ได้รับมอบหมายจัดทำแผนปฏิบัติการด้านพลังงาน พ.ศ. 2566 – 2580 หรือแผนพลังงานชาติ เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ.2050 และมุ่งเน้นส่งเสริมความมั่นคงภาคพลังงานเพื่อรองรับรูปแบบการผลิตและการใช้พลังงานที่มีความหลากหลายมากขึ้นในอนาคต โดยแผนพลังงานชาติมีแนวนโยบายที่สำคัญคือ เพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจากกำลังผลิตใหม่ให้มากกว่าร้อยละ 50, ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานภาคขนส่งเป็นพลังงานไฟฟ้าสีเขียว ผ่านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าตามนโยบาย 30@30, เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้ได้มากกว่าร้อยละ 30 – 40, ปรับโครงสร้างพื้นฐานรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานตามแนวทาง 4D1E เช่น การพัฒนาระบบไฟฟ้าที่มีการกระจายตัวและยืดหยุ่น รวมถึงปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงานเป็นพลังงานไฟฟ้า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำแผนย่อยรายสาขาด้านพลังงานทั้งด้านไฟฟ้า ก๊าซ น้ำมัน พลังงานทดแทน และอนุรักษ์พลังงาน เพื่อนำมาเป็นข้อมูลสำหรับแผนพลังงานชาติ คาดว่าจะเสนอร่างแผนพลังงานชาติภายในปี 2566
ทั้งนี้ สนพ.ยังมีแผนงานด้าน EV โดยขับเคลื่อนแผนงานด้านพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งการส่งเสริมการจัดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า โดยประ สานหน่วยงานเกี่ยวข้องกำหนดมาตรการสนับสนุนการจัดตั้งสถานีฯ เช่น การกำหนดค่าไฟของผู้ให้บริการที่อัตรา Low Priority การให้สิทธิประโยชน์ BOI รวมทั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่สำหรับ EV โดยร่วมกับกรมสรรพสามิต ออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ในประเทศภายในปี 2568
นอกจากนี้ สนพ.อยู่ระหว่างการร่างแผนบูรณาการการลงทุน Grid Modernization ของประเทศฉบับแรก เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้าระยะ 5 ปี (ปี 2565 – 2570) เป็นการบูรณาการการลงทุนและจัดลำดับความสำคัญของโครงการของ 3 การไฟฟ้าทั้งในส่วนระบบผลิต ระบบส่ง และระบบจำหน่าย
ด้าน ดร.สราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า แผนงานสำคัญที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติให้ความสำคัญ คือ ด้านการจัดหาเชื้อเพลิงพลังงานที่ต้นทุนไม่สูง ทั้งจากแหล่งในประเทศและเพื่อนบ้าน ซึ่งมีส่วนช่วยลดผลกระทบต้นทุนเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าและภาระค่าฟ้าของประชาชน โดยเฉพาะการจัดหาเชื้อเพลิงพลังงานจากแหล่งในประเทศ ซึ่งมีต้นทุนการผลิตต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับเชื้อเพลิงประเภทอื่นๆ และการนำเข้าจากต่างประเทศในสถานการณ์ราคาพลังงานโลกวิกฤตและราคา Spot LNG มีความผันผวนสูง โดยในปี 2565 ที่ผ่านมาแหล่งเอราวัณและแหล่งบงกช ได้สิ้นอายุสัมปทานและได้เปลี่ยนผ่านจากระบบสัมปทานเป็นระบบแบ่งปันผลผลิต โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้ติดตามการดำเนินงานในช่วงเปลี่ยนผ่านอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ดี การผลิตของแหล่งเอราวัณที่ไม่สามารถผลิตได้ตามเป้าในช่วงแรกของสัญญา เนื่องจากการเจรจาระหว่างผู้รับสัญญารายใหม่และผู้รับสัมปทานรายเดิมเกี่ยวกับข้อตกลงในการเข้าพื้นที่ และการเจาะหลุมเพื่อเตรียมการผลิตปิโตรเลียมเป็นการล่วงหน้า ล่าช้ากว่าแผน แต่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้บริหารจัดการโดยประสานผู้รับสัมปทานรายเดิมและผู้รับสัญญารายใหม่ให้ผลิตอย่างเต็มความสามารถของแต่ละแหล่ง จัดทำธรรมชาติเข้าระบบ
สำหรับในปี 2566 กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจะจัดทำและทบทวนแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้องเป็นระยะ ๆ พร้อมทั้งจัดหาก๊าซธรรมชาติเข้าระบบเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง กำกับดูแลผู้รับสัมปทานและผู้รับสัญญาในการจัดหาก๊าซธรรมชาติและการหยุดซ่อมบำรุงให้เป็นไปตามแผน โดยในระยะยาว กระทรวงพลังงานมีนโยบายส่งเสริมการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม โดยมีการเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เพื่อความมั่นคงเพิ่มเติม ได้แก่ การเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ (รอบที่ 24) จำนวน 3 แปลง ในบริเวณทะเลอ่าวไทย มีพื้นที่ครอบคลุมกว่า 35,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งปัจจุบันกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติอยู่ระหว่างการพิจารณาคำขอการพิจารณาคำขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม
นอกจากนั้น ด้านการดำเนินงานและพัฒนา เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ในชั้นหินทางธรณีวิทยาของประเทศไทย จะเร่งผลักดันการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี CCUS
ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลและมีประสิทธิภาพสูงในการจัดการ CO2 เพื่อเป็นไปตามนโยบายการมุ่งสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ การดำเนินงานด้าน CCUS ในฐานะอนุกรรมการและเลขานุการคณะอนุกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้านการขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจก
ปัจจุบันมีการดำเนินงานด้าน CCUS ในประเทศ 23 โครงการ มีโครงการนำร่องที่สำคัญ ได้แก่ โครงการอาทิตย์ตั้งอยู่ในอ่าวไทย นอกชายฝั่งจังหวัดสงขลา จะเริ่มอัด CO2 ได้จริงภายในปี ค.ศ. 2026 โครงการพื้นที่อ่าวไทยตอนบน คาดว่าจะมีศักยภาพในการกักเก็บ CO2 ในชั้นหินอุ้มน้ำเค็ม เพื่อจัดการ CO2 ที่มีการปลดปล่อยบริเวณพื้นที่จากนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออกของประเทศ และโครงการแอ่งแม่เมาะและแอ่งลำปาง จังหวัดลำปาง โดยร่วมกับกรมการพลังงานทหาร กฟผ. ปตท.สผ. และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศึกษาพื้นที่ศักยภาพเพื่อใช้ในการกักเก็บ CO2 จากโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ
ทั้งนี้ นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กล่าวว่า ปี 2565 ที่ผ่านมา ได้ดำเนินโครงการต่างๆ ที่สำคัญ ได้แก่ การรับซื้อพลังงานหมุนเวียนจากพลังงานแสงอาทิตย์ ลม ขยะอุตสาหกรรม และขยะชุมชน, การบังคับใช้เกณฑ์มาตรฐานอาคารด้านพลังงาน (Building Energy Code: BEC), การช่วยเหลือผู้ประกอบการในด้านการประหยัดพลังงานตามโครงการ 30-70/20-80
โดยสนับสนุนกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม อาคาร วิสาหกิจชุมชน ปรับเปลี่ยนเครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์เพื่อการประหยัดพลังงานอย่างเป็นรูปธรรม ผลการดำเนินโครงการมีเงินลงทุนหมุนเวียน 2,300 ล้านบาท ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 100,000 ตัน/ปี เกิดผลประหยัดรวม 764 ล้านบาท/ปี
การช่วยเหลือชุมชนในพื้นที่ห่างไกล/พื้นที่พิเศษ 83 พื้นที่ สนับสนุนให้ประชาชนและเกษตรกรมีการใช้พลังงานทดแทนและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ด้วยการติดตั้งเทคโนโลยี เช่น 10,778 ครัวเรือนลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ 106 ล้านบาท/ปี ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น
การติดฉลาก “ฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง” จากการดำเนินโครงการตั้งแต่ปี 2564 ถึงปัจจุบัน สามารถจัดพิมพ์ฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง 3.8 ล้านใบ ลดการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว 69.7 ล้านกิโลกรัม/ปี ลดการใช้น้ำมันดีเซล 3.55 ล้านลิตร / ปี ลดการใช้น้ำมันเบนซิน 8.88 ล้านลิตร/ปี ลดการใช้ไฟฟ้า 366 ล้านหน่วย/ปี เกิดผลประหยัดพลังงาน 122.2 ktoe หริอ 3,604.48 ล้านบาท/ปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 7,429 พันตันต่อปี
สำหรับแผนงานในปี 2566 มีกิจกรรมสำคัญ อาทิ การบังคับใช้ข้อบัญญัติเกณฑ์มาตรฐานอาคารด้านพลังงาน (BEC) ซึ่งการบังคับใช้จะช่วยลดต้นทุน เพิ่มโอกาสการแข่งขัน สร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศ และในปี 2566 BEC จะมีผลบังคับใช้ในอาคารพื้นที่ ไม่ต่ำกว่า 2,000 ตรม.ทันที คาดจะช่วยลดการใช้ไฟฟ้าได้ 13,700 ล้านหน่วย หรือกว่า 47,000 ล้านบาท รวมถึง ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 1 ล้านตัน/ปี การส่งเสริมให้ส่วนราชการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป และนำร่อง ESCO อนุรักษ์พลังงาน, การพัฒนาแพลตฟอร์มทางการเงิน, สิทธิประโยชน์ทางภาษีในการใช้อุปกรณ์ เครื่องจักรประสิทธิภาพสูง, โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล/ก๊าซชีวภาพจากพืชพลังงาน เพื่อชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก โดยเร่งการลงทุน 200 เมกะวัตต์ คาดว่าจะทําให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจรวม 20 ปี มูลค่ารวมกว่า 37,700 ล้านบาท อีกทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 630,737 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
นางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า ปี 2565 ที่ผ่านมา ได้ดำเนินมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานใน 2 กลุ่ม คือ การช่วยเหลือราคา LPG กลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตั้งแต่เมษายน 2565 - มีนาคม 2566 โดยใช้งบกลางสนับสนุนส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม จาก 45 บาท/คน/3 เดือน เพิ่มอีก 55 บาท/คน/3 เดือน รวมเป็น 100 บาท/คน/3 เดือน มีผู้ใช้สิทธิ์โดยเฉลี่ยในแต่ละรอบประมาณ 5 ล้านราย สามารถช่วยลดภาระค่าครองชีพของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกว่า 950 ล้านบาท และการช่วยเหลือราคาเบนซินสำหรับกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ (วินเซฟ) ตั้งแต่พฤษภาคม - กรกฎาคม 2565 โดยรัฐสนับสนุนวงเงินร่วมจ่ายแก่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะในการเติมน้ำมันกลุ่มเบนซินร้อยละ 50 ของค่าน้ำมัน เดือนละ 250 บาท/คน/เดือน เป็นจำนวน 3 เดือน รวม 750 บาท/คน ทั้งนี้ มีผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะเข้าร่วมโครงการ 44,651 ราย สามารถช่วยลดภาระค่าครองชีพประมาณ 18 ล้านบาท
กรมธุรกิจพลังงานยังปรับบทบาทกรมธุรกิจพลังงานเพื่อรองรับนโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า โดยสร้างความร่วมมือกับกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นปิโตรเลียมสนับสนุนการลงทุนต่อยอดในธุรกิจใหม่ ได้แก่ ปิโตรเคมีขั้นสูง Bio-refinery และพลังงานหมุนเวียน ซึ่งคาดว่าจะมีการลงทุนไม่น้อยกว่า 17 โครงการ มูลค่าประมาณ 109,100 ล้านบาท
นอกจากนี้ เพื่อสนับสนุนการพัฒนา EV ได้มีการตั้งคณะทำงานจัดทำแผนปฏิบัติงาน เพื่อการกำกับดูแลการประกอบกิจการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง กำหนดรูปแบบการส่งเสริมการติดตั้งและกำกับดูแลสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ติดตั้งภายในบริเวณพื้นที่สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปี 2566 เกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมการติดตั้งสถานี อัดประจุไฟฟ้าภายในสถานีบริการ รูปแบบการดำเนินการ การกำกับดูแลและข้อกฎมาย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาสถานีอัดประจุไฟฟ้าในพื้นที่สาธารณะในปี พ.ศ. 2573 จำนวน 12,000 หัวจ่าย
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) กล่าวว่า การทำ Utility Green Tariff : UGT เป็นการทำการไฟฟ้าสีเขียว ในระดับใหญ่ เพื่อตอบสนองบริษัทที่ต้องการขายต่างประเทศ เพื่อความสะดวก ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถเลือกได้ นอกจากนี้หลายโรงงานไม่สะดวกในการติดตั้ง Solar จำนวนมาก สถานประกอบการที่เลือกใช้ ไฟฟ้าสีเขียว สามารถเริ่มได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลารอคอย ซึ่ง กกพ.บริหารจัดการให้มีต้นทุนที่แข่งขันได้และเป็นธรรม
Utility Green Tariff แบ่งเป็น 2 ส่วน คือโรงไฟฟ้าที่มีอยู่แล้วในระบบ กับโรงไฟฟ้า RE ใหม่ของรัฐและเอกชน ที่ยังไม่ COD ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มให้เลือกใช้ ซึ่งราคาถูกเป็นส่วนที่เป็นประโยชน์ ต่อประเทศชาติโดยรวม
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ สามารถเริ่มได้ทันที สะดวกสบาย โดยไม่ต้องใช้เวลาก่อสร้าง ตัดปัญหาเรื่องก่อสร้างไม่สำเร็จ และขายได้ในราคาที่ดี คาดว่าจะทำแล้วเสร็จในครึ่งปี 2566 ตามไทม์ไลน์จาก มกราคม-เมษายน 2566
ด้านนายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มีแผนการลงทุนปี 2566 จำนวน 31,552 ล้านบาทใน 3 เรื่อง คือ 1.ระบบส่ง 2.ระบบผลิต และ 3.บริษัทในเครือ 3,478 ล้านบาทฃ
กฟผ. มีแผนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ แผนการจัดหาอะไหล่และการซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า เป็นจำนวนเงินรวม 11,166 ล้านบาท
-ระบบส่ง และระบบผลิต กฟผ. มีแผนการขยายระบบส่งเพื่อเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในแต่ละภูมิภาครวม 20,386 ล้านบาท
-บริษัทในเครือ กฟผ. มีแผนการลงทุนด้านพลังงานไฟฟ้าของบริษัทในเครือ กฟผ. รวม 3,478 ล้านบาท
ด้านนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ปตท. และบริษัทในกลุ่ม ปตท. มีแผนการลงทุนในประเทศ ปี 2566 จำนวน 200,292 ล้านบาท ปตท. และบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้นมีดังนี้
การสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ประกอบด้วย
-โครงการโรงแยกก๊าซฯ หน่วยที่ 7 (GSP 7)
-โครงการท่อส่งก๊าซฯ บางปะกงไปโรงไฟฟ้าพรนครใต้
-โครงการท่อส่งก๊าซฯ เส้นที่ 5 กำหนดแล้วเสร็จปี 2566
-โครงการ LNG Receiving แจ้ง COD เดือน พฤศจิกายน 2565
สำหรับการลงทุนเพื่อพัฒนาและต่อยอดโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วย
-โครงการแหลมฉบัง ระยะที่ 3
-โครงการมาบตาพุด ระยะที่ 3
การมุ่งสู่ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร ประกอบด้วย
-Arun Plus : Horizon + สร้างโรงงานผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าร่วมกับ Foxconn กำหนด COD ปี 2567
-EVme : EV Fleet ดำเนินธุรกิจแพลตฟอร์มให้บริการรถยนต์ไฟฟ้าครบวงจร
ในกลุ่มที่มีแนวทางการดำเนินงาน
-ปตท.สผ. สำรวจผลิตเสริมความมั่นคง เร่งเพิ่มการผลิตจากแหล่งที่ได้เข้าไปให้ได้ตามแผน
-GPSC มีการขยายการลงทุนพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น
-OR เน้นปรับพื้นที่สถานีบริการน้ำมัน ขายพลังงานและพื้นที่ให้ประชาชนใช้ทำกิจกรรมเพิ่มมากขึ้น
-Thaioil และ IRPC มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจโรงกลั่น และการใช้พลังงานสะอาด
-GC มีการปรับพอร์ตธุรกิจปิโตรเคมี มุ่งสู่ High Value Business