ที่กระทรวงพลังงาน คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย นำโดยนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการ กกร. พร้อมผู้บริหารระดับสูงจากภาคอุตสาหกรรม ได้เข้าพบนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ผู้บริหารกระทรวงพลังงาน และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพื่อหารือถึงความร่วมมือด้านการจัดการกับวิกฤตพลังงานอย่างสร้างสรรค์และสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศ
.jpg)
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ได้พบปะหารือและอธิบายสถานการณ์ด้านราคาเชื้อเพลิงซึ่งเป็นวิกฤตพลังงานที่เกิดขึ้นทั่วโลกและเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้า ต่อคณะ กกร. ว่า ในช่วงที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แสวงหาแนวทางต่างๆ ร่วมกันในการลดผลกระทบจากราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้า อาทิ การปรับเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงที่มีราคาถูก การแสวงหาแหล่งก๊าซในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเติม การลดความต้องการใช้ก๊าซในภาคส่วนอื่นๆ เพื่อให้มีก๊าซจากอ่าวไทยเข้าสู่ภาคไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เป็นต้น
โดยแนวทางที่กล่าวมาข้างต้น สามารถลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าตลอดปี 2565 ได้หลายหมื่นล้านบาท รวมถึงมีนโยบายให้ทาง กฟผ. ได้แบกรับภาระต้นทุนการผลิตไฟฟ้าไว้บางส่วนเพื่อแบ่งเบาภาระประชาชน นอกจากนี้ในปี 2566 ทิศทางของต้นทุนเชื้อเพลิง มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเนื่องจากจะมีการผลิตก๊าซจากแหล่งในอ่าวไทยได้เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2566 เป็นต้นไป ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลดลงในที่สุด
ที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานได้ให้ความร่วมมือกับภาคเอกชนมาโดยตลอด เห็นได้จากตัวอย่างการช่วยเหลือผู้ประกอบการในการประหยัดพลังงานตามโครงการ 30-70/20-80 ที่มีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการลดค่าใช้จ่ายพลังงาน โดยกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้การสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม โดยการสนับสนุนเงินลงทุนร้อยละ 20 - 30 และความร่วมมืออื่นๆ ในการอนุรักษ์พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อทั้งการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และการร่วมเดินหน้าประเทศสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี พ.ศ. 2593
.jpg)
“ในเรื่องความเดือดร้อนของผู้ประกอบการเกี่ยวกับต้นทุนด้านพลังงาน ทางกระทรวงพลังงานไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้ใช้มาตรการต่างๆ อย่างเต็มที่ แต่ช่วงนี้ต้องยอมรับว่าเป็นวิกฤติพลังงานจริงๆ จึงยังมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมซึ่งเป็นผู้ใช้พลังงานรายสำคัญ อาทิ การพิจารณามาตรการจูงใจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การปรับเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงอื่นทดแทนก๊าซธรรมชาติที่มีต้นทุนสูง รวมถึงแนวทางการบริหารจัดการด้านอื่น ๆ ซึ่งจะได้มีการนำข้อหารือและความเห็นต่าง ๆ ที่เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ในวันนี้ ทั้งของกระทรวงพลังงาน กกพ. และ กกร. มาแสวงหาแนวทางปฏิบัติร่วมกัน เพื่อให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมในการลดต้นทุนเชื้อเพลิงและคาดว่าจะสามารถลดค่าไฟฟ้าให้กับภาคอุตสาหกรรมได้ โดยมีเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 นี้” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าว
.jpg)
ทั้งนี้ สำหรับผลการพิจารณาของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ได้มีการทบทวนค่าไฟฟ้าผันแปรหรือค่า Ft สำหรับภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมให้อยู่ที่ 154.92 สตางค์ต่อหน่วย โดยมีการปรับลดลงจากมติ กกพ. เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ที่ 190.44 สตางค์ต่อหน่วย หรือลดลง 35.53 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งการลดค่า Ft ในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ กกพ. ในการคำนวณค่า Ft ซึ่งยังไม่รวมกับ การลดต้นทุนที่จะเกิดขึ้นความร่วมมือทุกผ่ายในอนาคตอันใกล้ ซึ่งหากแล้วเสร็จก็จะเร่งให้เสนอ กพช หรือ กกพ พิจารณาให้มีผลทันที เพื่อลดภาระต้นทุนค่าไฟฟ้าของ ธุรกิจ และ อุตสาหกรรม รวมถึงร่วมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อรองรับโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ของประเทศต่อไป”