CCS และ CCUS กุญแจความสำเร็จ สู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน
เรื่องสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ นับได้ว่าเป็นวาระสำคัญระดับโลก และเมื่อปลายปี 2564 ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 26 (COP 26) โดยมีเป้าหมายในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ในอัตราร้อยละ 20 ภายในปี 2570
กระทรวงพลังงาน มีนโยบายการขับเคลื่อนส่วนต่าง ๆ ในภาคพลังงาน เพื่อรองรับวาระและเจตนารมณ์ดังกล่าว ซึ่งจะครอบคลุมทั้งด้านไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันเชื้อเพลิง พลังงานทดแทน และอนุรักษ์พลังงาน โดยมีการจัดทำ “แผนพลังงานแห่งชาติ” มุ่งสู่เป้าหมายลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2050
สำหรับการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของไทยนั้นไม่เพียงมุ่งเน้นการจัดหาปิโตรเลียมเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานเท่านั้น แต่ยังให้ความความสำคัญและพร้อมสนับสนุนนโยบายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ
กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ในฐานะหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศ มีการร่วมมือกับบริษัทผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เริ่มทำการศึกษาและทดลองใช้เทคโนโลยี Carbon Capture and Storage (CCS) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลในการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากการประกอบกิจการต่าง ๆ เช่น การสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ลงไปเก็บในชั้นหินใต้ดินในระดับความลึกที่มีความเหมาะสมในการกักเก็บ CO2 อย่างปลอดภัย เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีการปล่อย CO2 ในปริมาณมากเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ และนอกจากนี้ ยังมีการผลักดันให้เกิดความร่วมมือในด้านการพัฒนาเทคโนโลยี CCUS (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) ที่สามารถนำ CO2 ที่กักเก็บไว้มาใช้ประโยชน์ต่อเนื่องในภาคอุตสาหกรรมได้
ทั้งนี้ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการบริหารจัดการก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเทคโนโลยี CCS และ CCUS เพื่อนำไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี พ.ศ. 2593 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608 ต่อไป