SPCG กำไร 2,736.6 ล้านบาท เดินหน้า COD
โครงการ Fukuoka Miyako Mega Solar ต้นปี 2566
SPCG เปิดเผยกำไรสุทธิปี 2564 จำนวน 2,736.6 ล้านบาท จ่ายปันผลทั้งปี 0.80 บาท เดินหน้า COD โครงการ Fukuoka Miyako Mega Solar ฝั่ง South Phase 44 เมกะวัตต์ (MW) ภายในต้นปี 2566
บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG ประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อย สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม จำนวน 4,492.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 2,736.6 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น เท่ากับ 2.37
ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สาเหตุที่บริษัทสามารถทำกำไรได้ภายใต้สถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกเช่นนี้ เนื่องจากบริษัทฯ มีการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ ใช้นโยบายในการบริหารจัดการลดต้นทุนด้านต่างๆ ส่งผลให้ต้นทุน O&M (Operating & Maintenance) สำหรับธุรกิจโซลาร์ฟาร์มลดลง 26.1 ล้านบาท และจะดำเนินนโยบายในการบริหารจัดการลดต้นทุนด้านต่างๆ ลงอีกต่อไปในอนาคต
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานประจำปี 2564 และกำไรสะสม ในอัตราหุ้นละ 0.80 บาท ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท คงเหลือเงินปันผลที่จะจ่ายในงวดนี้ อัตราหุ้นละ 0.55 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 580,684,500 บาท (ห้าร้อยแปดสิบล้านหกแสนแปดหมื่นสี่พันห้าร้อยบาทถ้วน) โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันอังคารที่ 15 มีนาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันอังคารที่ 17 พฤษภาคม 2565 ทั้งนี้ สิทธิในการรับเงินปันผลดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอนจนกว่าจะได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565
ส่วนสาเหตุที่บริษัทฯ มีรายได้และกำไรลดลงเนื่องจากตั้งแต่ปี 2563 - 2564 บริษัทมี 5 โซลาร์ฟาร์ม ที่ค่าแอดเดอร์หมดไปจากทั้งหมด 36 แห่ง ได้แก่ โครงการที่ โคราช 1 (20 เมษายน 2563), สกลนคร 1 (8 กุมภาพันธ์ 2564), นครพนม 1 (21 เมษายน 2564), โคราช 2 (12 กันยายน 2564) และ เลย 1 (14 กันยายน 2564) อย่างไรก็ตามแม้ค่าแอดเดอร์หมดไปบริษัทยังคงได้รับเงินจากการขายไฟตามปกติ