สนพ. เดินหน้า “แผนขับเคลื่อนสมาร์ทกริด พ.ศ. 2565-2574”
ดันไทย มั่งคั่ง มั่นคง ยั่งยืน มุ่งสู่ Carbon Neutrality ภายในปี ค.ศ. 2065 – 2070
ในโลกยุคปัจจุบัน การเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยนั้น ย่อมนำมาซึ่งการพัฒนาให้เกิดความก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบริบททางด้านการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐาน ด้านเศรษฐกิจ ด้านนวัตกรรม หรือแม้กระทั่งในแง่มุมของวัฒนธรรมต่าง ๆ ทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล (Digital Transformation) ในภาคพลังงานนั้นก็เช่นกัน มีกระแสหลักเน้นไปในเรื่องของการนำพลังงานหมุนเวียน มาใช้ทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิสชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น น้ำมัน ถ่านหิน หรือ ก๊าซธรรมชาติ เนื่องจากความจำเป็นทั้งทางด้านปริมาณ หรือปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม ก็ตาม
อีกทั้งกลไกการเปลี่ยนผ่านยังมุ่งเน้นไปถึงการใช้เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องเข้ามาบูรณาการให้เกิดการบริหารจัดการ และการใช้พลังงานเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งภายใต้กรอบดังกล่าว ย่อมส่งผลให้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าในอนาคต มีความซับซ้อน ทั้งทางด้านกลไก และด้านการดำเนินการ ที่มากกว่าเดิมยิ่งขึ้น นั่นยิ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็น ที่ภาคพลังงานจะต้องอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัล ในการควบคุม กำกับ และดูแลระบบ เพื่อให้เกิดการสอดรับกับปัจจัยต่าง ๆ ทั้งทางด้านเสถียรภาพ ความน่าเชื่อถือ และความเพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ในปี 2564 แผนการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านสมาร์ทกริด ของประเทศไทย ในระยะสั้น พ.ศ. 2560 - 2564 (แผนการขับเคลื่อนฯ ในระยะสั้น) ได้สิ้นสุดลง
ดังนั้น สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จึงได้จัดทำ แผนการ ขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านสมาร์ทกริดของประเทศไทย ระยะปานกลาง พ.ศ. 2565 - 2574 (แผนการขับเคลื่อนฯ ระยะปานกลาง) ขึ้น โดยมุ่งส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ และการจัดการทรัพยากร ในระบบจำหน่ายไฟฟ้าที่จำเป็น รองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้ายุคใหม่ อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งการเตรียมความพร้อมต่าง ๆ และนำร่องการจัดการแหล่งพลังงาน แบบกระจายศูนย์ (Distributed energy resources; DER) ในรูปแบบเชิงพาณิชย์ รองรับการเปลี่ยนผ่าน เทคโนโลยีรูปแบบใหม่ ที่เริ่มส่งผลต่อการบริหารจัดการระบบไฟฟ้า ตลอดจนเพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายด้านสมาร์ทกริดของประเทศไทยเป็นไปอย่างเป็นรูปธรรม
แผนการขับเคลื่อนฯ ระยะปานกลาง ฉบับนี้ ได้การกำหนดเป้าหมายสำคัญในระยะมากกว่า 10 ปี ซึ่งจะเป็นแผนขับเคลื่อนด้านสมาร์ทกริด ตามกรอบแผนแม่บท การพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะของประเทศไทย พ.ศ. 2558 – 2579 โดยจะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ และการจัดการทรัพยากรในระบบจำหน่ายไฟฟ้า ที่จำเป็นรองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้ายุคใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยสนับสนุน ให้ประเทศไทยสามารถมุ่งไปสู่พลังงานสะอาด และลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตลอดจนเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) ที่ส่งผลให้ต้องมีการพัฒนาระบบไฟฟ้า ให้มีความยืดหยุ่นรองรับการเพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียนให้ได้ตามเป้าหมายของแผนพลังงานชาติ
เพื่อเป็นทางเลือก สำหรับการรักษาสมดุลไฟฟ้าของประเทศ และบริหารความต้องการ ช่วงไฟฟ้าพีค ให้มีประสิทธิภาพ โดยแบ่งออกเป็น 5 เสาหลัก พร้อมทั้งแผนอำนวยการสนับสนุน ประกอบด้วย
เสาหลักที่ 1 : การตอบสนองด้านโหลดและระบบบริหารจัดการพลังงาน (DR & EMS)
เสาหลักที่ 2 : การพยากรณ์ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียน (RE Forecast) :
เสาหลักที่ 3 : ระบบไมโครกริดและโปรซูเมอร์ (Microgrid & Prosumer)
เสาหลักที่ 4 : ระบบกักเก็บพลังงาน (ESS)
เสาหลักที่ 5 : การบูรณาการยานยนต์ไฟฟ้า (EV Integration)
สำหรับประโยชน์ของการจัดทำแผนการขับเคลื่อนฯ ระยะปานกลาง ในมิติของความสมดุลทางด้านพลังงาน (Energy Trilemma) มีความสอดคล้องกับหลักการเสริมสร้างความยั่งยืนตามยุทธศาสตร์ของประเทศ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความมั่นคง ด้านความมั่งคั่ง และด้านความยั่งยืน ดังนี้ :
ด้านความมั่นคง : เกิดความมั่นคงทางพลังงานจากการผลิต และใช้พลังงานภายในประเทศ โดยการใช้โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานแบบกระจายศูนย์ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับ ระบบไฟฟ้า
ด้านความมั่งคั่ง : เกิดต้นทุนค่าไฟฟ้าโดยรวมของประเทศลดลง การหลีกเลี่ยงการลงทุน ที่ไม่จำเป็น ภาคผู้ใช้ไฟฟ้ามีโอกาสลดต้นทุนค่าไฟฟ้าของตนเองและเกิดการสร้างรายได้ รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งด้านการส่งออกและการลงทุนต่าง ๆ ในประเทศ
ด้านความยั่งยืน : สามารถรองรับพลังงานหมุนเวียนในปริมาณสูง และสนับสนุนการลด การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาด
ดังนั้น สนพ. ยืนยันถึงการจัดทำแผนการขับเคลื่อนฯ ระยะปานกลาง จะมีความสำคัญ และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนา และการลงทุนระบบไฟฟ้าในอนาคต ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มความยืดหยุ่น ให้กับระบบโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศ สามารถรองรับการเพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียน รวมถึงการใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงาน แบบกระจายศูนย์ (DERS) ประเภทต่าง ๆ ที่จะเติบโตตามแนวโน้มของโลก ร่วมกับระบบโครงข่ายไฟฟ้า ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อช่วยสนับสนุน ให้ประเทศไทยสามารถมุ่งไปสู่พลังงานสะอาด และลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2065 - 2070 ตามกรอบแผนพลังงานชาติได้อย่างแน่นอน